จี้บูรณาการแก้น้ำท่วม หวั่นผุดพื้นที่รับน้ำเสี่ยงปัญหา ย้ำงบประมาณ 3.5 แสนล้าน ต้องสร้างเป็นแผนระยะยาว...
เมื่อวันที่ 12 ก.ค. ที่หอประชุมใหญ่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) มีการจัดงาน “นวัตกรรม...ป้องกันภัยน้ำท่วม 2555” จัดโดยการเคหะแห่งชาติ ร่วมกับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. โดยนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวตอนหนึ่งในพิธีเปิดว่า รัฐบาลมุ่งมั่นเตรียมพร้อมกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ทั้งการดำเนินมาตรการระยะสั้นและระยะยาว โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งรัฐ เอกชน และภาคประชาชน ซึ่งสถานการณ์น้ำท่วมปีที่ผ่านมา มีการคิดค้นนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ รวมถึงภูมิปัญญาชาวบ้านที่คิดสร้างสรรค์ร่วมแก้ปัญหา สิ่งต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นความเอาใจใส่ร่วมกันของทุกภาคส่วน ที่จะร่วมป้องกันปัญหาในปีนี้และปีต่อไปอย่างรอบคอบ
ด้านนายคอร์เนลิส เดคร๊าฟ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยและเมือง ประเทศเนเธอร์แลนด์ เปิดเผยว่า การจัดการน้ำท่วมในประเทศไทยควรบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ ไม่ใช่สนใจเพียงจุดใดจุดหนึ่ง เช่น นิคมอุตสาหกรรมที่สร้างผนังกั้นน้ำเพื่อป้องกันเฉพาะนิคม โดยไม่คำนึงถึงที่อยู่อาศัยโดยรอบ นอกจากนี้พื้นที่ในกรุงเทพมหานครมีการทรุดตัว 2.5 เซนติเมตรทุกปี อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศของโลก รวมถึงการก่อสร้างที่อยู่อาศัย โรงงานต่างๆ ที่เพิ่มพื้นที่กีดขวางเส้นทางคูคลองมากขึ้น จะยิ่งทวีความรุนแรงของปัญหาน้ำท่วม ทั้งนี้ข้อเสนอแนะนั้น ควรให้มีการจัดหาพื้นที่ลุ่ม ขุดคลองโดยรอบ สูบน้ำออกลงแม่น้ำและลงทะเล ส่วนแนวทางที่รัฐบาลจะคิดทำพื้นที่รับน้ำทั้งฝั่งตะวันออก และฝั่งตะวันตก ความกว้าง 200 เมตรนั้น อาจเกิดอันตรายหรือมีปัญหาได้ หากระดับน้ำทะเลต่ำกว่าพื้นที่รับน้ำทำให้ไม่สามารถกักน้ำไว้ได้
ขณะที่ ดร.สุรเจตส์ บุญญาอรุณเนตร หัวหน้ากลุ่มงานแบบจำลอง ฝ่ายสารสนเทศทรัพยากรน้ำ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์กรมหาชน) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า จากการศึกษาปริมาณน้ำฝนที่ตกปีนี้น้อยกว่าปีที่ผ่านมา 11% ปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ยังมีพื้นที่รองรับน้ำได้มากเพียงพอกว่าปีที่แล้ว รวมทั้งยังเตรียมการแบบบูรณา โดยเฉพาะฐานข้อมูลที่เป็นศูนย์กลาง จึงมั่นใจถึงสถานการณ์ การเตรียมพร้อม และนวัตกรรมต่างๆ ปีนี้ดีกว่า ปี 2554
ผศ.ดร.คมสัน มาลีสี รองคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. กล่าวว่า หากปีนี้เกิดปัญหาเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเช่นปีที่ผ่านมา รัฐบาล ภาครัฐ และนักวิชาการก็คงอยู่ไม่ได้ จึงเชื่อว่าความร่วมมือของทุกฝ่ายยังมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำ โดยไม่ต้องทุ่มงบประมาณปีนี้เพื่อแก้ปัญหามากถึง 3.5 แสนล้านบาท แต่งบประมาณดังกล่าวน่าจะเป็นงบฯ ที่จะร่วมกันวางแผนป้องกันระยะยาว โดยอาศัยนักวิชาการจากหลายพื้นที่ที่มีความชำนาญต่างกันมาร่วมกันทำงาน ซึ่งในส่วนของ สจล.มีประสบการณ์จากปีที่แล้ว ที่มีแผนดำเนินการในรูปแบบลาดกระบังโมเดล ซึ่งมีหลักที่ว่า สำรวจ ตั้งรับ เฝ้าระวัง และฟื้นฟู โดยระดมจิตอาสาปัญญาชน สจล.ร่วมกับประชาชนและทุกภาคส่วน ที่ช่วยกันทั้งวางแผนป้องกันพื้นที่ กทม.ฝั่งตะวันออกอย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น